OMOTENASHI

การดูแลเอาใจใส่อย่างชาญฉลาด – สิ่งที่ขาดไม่ได้ยามจัดงานเลี้ยงที่บ้าน

“Omotenashi” คืออะไร?

"คำว่า “Omotenashi” ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงความ โอบอ้อมอารีอย่างจริงใจ คำนี้ประกอบด้วยตัวอักษร Kanji (อักษรจีน) สองตัวคือ คำว่า “omote” แปลว่า “ข้างหน้า” และคำว่า “nashi” แปลว่า “ไม่มี” รวมทั้งคำจึงหมายความว่าการดูแลผู้มาเยือนด้วย ความเคารพอย่างจริงใจ และยังมีความหมายรวมทั้ง สิ่งที่เห็นได้ (ภายนอก) และสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็น ได้ (เช่น เรื่องจิตใจ) ด้วย คำนี้ได้รับความนิยมหลัง จากที่ถูกนำไปใช้เป็นคำขวัญที่ทำให้ญี่ปุ่นได้รับเลือก เป็นผู้จัดการแข่งขันโอลิมปิกที่โตเกียวในปี 2020 "

แนวคิด omotenashi ปรากฏให้เห็นเมื่อชาวญี่ปุ่นต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความเคารพอย่างจริงใจ เช่น ในงานสังสรรค์ต่างๆ

ซูชิ (Sushi) การเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันทั้งด้านรสชาติและรูปร่างหน้าตา

ซูชิเป็นอาหารซึ่งเป็นที่นิยมทั่วโลก ทำได้โดย นำอาหารทะเลวางลงบนก้อนข้าวผสมน้ำส้มสาย ชูโดยใช้มือ (เรียกว่า นิกิริซูซิ (nigiri-zushi)) ซูชินั้นปรากฏในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 1800 ซูชิ (Sushi) เป็นอาหารที่น่าดึงดูดใจเพราะ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การใช้ปลานานาชนิด และ น้ำส้มสายชูในซูชิ (Sushi) จะช่วยคลาย ความเหนื่อยล้าและทำให้เจริญอาหาร

ในบรรดาซูชิ (Sushi) ทั้งหลาย นิกิริซูซ (nigiri-zushi) ถือเป็นอาหารที่ทำยากที่สุด ผู้ทำจะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานจึง จะสามารถใช้เทคนิคการปั้นข้าวแบบนี้ได้ ดัง สำนวนญี่ปุ่นที่กล่าวไว้ว่า “เรียนหุงข้าวสามปี เรียนปั้นข้าวอีกแปดปี”

Nigiri-zushi (หรือที่เรียกกันว่า "ข้าวปั้น") อาจจะเป็นอาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดประเภทหนึ่งก็ได้

ซูชิ(Sushi)นั้นถูกปั้นขึ้นโดยที่ข้าวแต่ละเม็ด มีช่องว่างระหว่างกันอย่างพอเหมาะ การปั้นข้าว แบบดังกล่าวจะช่วยเสริมรสชาติ โดยก้อนข้าว จะยังเกาะตัวเป็นก้อนอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อ ท่านถือข้าวปั้นไว้ในมือ แล้วกระจายตัวอย่าง ละมุนในปากของท่าน การปั้นข้าวนั้นจะต้องทำ อย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้น ข้าวจะแห้ง

ความสามารถของพ่อครัวในการถ่ายทอด รสชาติต่างๆ ของส่วนผสม

พ่อครัวซูชิคลุกเคล้าข้าวผสมน้ำส้มสายชูกับ อาหารทะเลอย่างลงตัว นิกิริซูซิ (nigiri-zushi) มีขึ้นครั้งแรกในสมัยที่เรายังไม่มีตู้เย็น เมื่อทำซูชิ (Sushi) แล้วปล่อยไว้ อาหารทะเลจะไม่สด ดังนั้น จึงเกิดนวัตกรรมที่จะทำให้ซูชิมีรสชาติดี ยกตัว อย่างเช่น การใช้เกลือและน้ำส้มสายชู การอบ หรือต้ม และการแช่ในซอส เป็นต้น

แม้ตู้เย็น และระบบจัดส่งได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่าง มาก แต่ความชาญฉลาดของคนสมัยโบราณได้ ถูกส่งผ่านพ่อครัวซูชิจากรุ่นสู่รุ่น พ่อครัวซูชิ พิถีพิถันในการเลือกใช้ส่วนผสมที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากซูชิ (Sushi) เป็นอาหารที่เรียบง่ายมาก ความสามารถของพ่อครัวได้ทำให้เกิดรสชาติที่ น่าเอร็ดอร่อย

พ่อครัวซูชิ (Sushi) ทำซูชิทีละชิ้นอย่างตั้งใจ ในประเทศญี่ปุ่น กล่าวกันว่าพ่อครัวจะต้องใช้เวลาฝึกฝนถึง 3 ปีจึงจะสามารถหุงข้าวได้อย่างเชี่ยวชาญ และใช้เวลาอีก 8 ปีจึงจะปั้นข้าวได้อย่างชำนาญ

พ่อครัวซูชิ (Sushi) ทำซูชิทีละชิ้นอย่างตั้งใจ ในประเทศญี่ปุ่น กล่าวกันว่าพ่อครัวจะต้องใช้เวลาฝึกฝนถึง 3 ปีจึงจะสามารถหุงข้าวได้อย่างเชี่ยวชาญ และใช้เวลาอีก 8 ปีจึงจะปั้นข้าวได้อย่างชำนาญ

การได้ชมพ่อครัวซูชิ (Sushi) ทำข้าวปั้นต่อหน้าท่านอย่างตั้งใจถือเป็นประสบการณ์พิเศษอย่างยิ่งเมื่อท่านไปทานอาหารที่ร้านซูชิ (Sushi) ญี่ปุ่น

พ่อครัวซูชิ (Sushi) จะเสิร์ฟอาหารแก่ลูกค้า แต่ละคน โดยพิจารณาถึงความเข้ม และความ อ่อนของรสชาติ และท่านจะเพลิดเพลินไปกับ เทคนิคโบราณและวัฒนธรรมไปพร้อมๆ กับ การทานซูชิ (Sushi) เช่นเดียวกับความโอบ อ้อมอารีอย่างสุภาพแบบญี่ปุ่นด้วย

ชุดซูชิซึ่งประกอบด้วยข้าวปั้น nigiri-zushi (แถวหน้า) และ ura-maki (ซูชิที่ห่อจากด้านนอก หรือข้าวห่อสาหร่าย, แถวหลัง)