บทสัมภาษณ์กับผู้พัฒนากล้อง

ยาวนานกว่า 10 ปี

เป้าหมายของเราคือ ประสิทธิภาพในระดับที่ทำให้กล้องเป็น “เครื่องมือในการทำงาน” สำหรับช่างภาพมืออาชีพ

—LUMIX ได้พัฒนากล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรมรุ่นแรก อยากให้คุณเล่าให้เราฟังถึงความเป็นมาของการพัฒนากล้อง

Kado: ช่างภาพระดับมืออาชีพและผู้ที่สนใจการถ่ายภาพทั่วโลกต่างก็มีความคาดหวังที่สูงต่อกล้องมิเรอร์เลสเลนส์เดี่ยว (DSLM) ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของการจัดส่งกล้องเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงความนิยมในตัวกล้อง DSLM ในญี่ปุ่น จำนวนกล้อง DSLM ที่มีการจัดส่งออกไปนั้นสูงกว่ากล้องดิจิตอลแบบ Single-Lens Reflex (DSLR) สิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความต้องการที่สูงขึ้นของกล้อง DSLM คือฟูลเฟรม ซึ่งเราได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มดังกล่าวแล้วหลายปีก่อนหน้านี้ เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังและความต้องการของลูกค้า เราจึงเริ่มพัฒนากล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรมตั้งแต่หลายปีก่อน

 

อะไรคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญในการพัฒนากล้อง LUMIX S1R/S1

Kazunori Kado —วางแผนผลิตภัณฑ์กล้อง

Kado: LUMIX GH5, GH5S และ G9 ในมาตรฐานระบบ Micro Four Thirds เป็นกล้องที่ได้รับการประเมินในระดับสูงอยู่แล้วจากช่างภาพมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่ากล้องเหล่านี้ยังขาดคุณสมบัติบางด้านหากจะนำมาใช้เป็น “เครื่องมือในการทำงาน” ของช่างภาพมืออาชีพ ดังนั้น เราจึงตัดสินใจริเริ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มใหม่ที่เรียกว่ากล้องฟูลเฟรม จากนั้น เราเริ่มต้นการพัฒนากล้องที่ช่างภาพมืออาชีพจะเลือกใช้เป็น “เครื่องมือในการทำงาน” ของพวกเขา

Kazunori Kado
—วางแผนผลิตภัณฑ์กล้อง

ช่วยอธิบายความหมายของคำว่า “เครื่องมือในการทำงาน” ให้เราฟังได้ไหม

Kado: เราเชื่อว่ากล้องที่สามารถเป็นเครื่องมือในการทำงานของช่างภาพมืออาชีพได้จะต้องช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมได้ดั่งใจและลั่นชัตเตอร์ได้ในขณะที่ต้องการเพื่อให้ผู้ใช้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาในภาพได้เหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ ในการพัฒนากล้อง S1R/S1 เราให้ความสำคัญกับสามสิ่งคือ “ความสามารถในการถ่ายทอด” “ประสิทธิภาพพื้นฐานที่สูง” และ “ความง่ายต่อการใช้งาน” และในระหว่างที่ทำตามเป้าหมายเหล่านี้ เราก็เพิ่มคุณสมบัติที่มีเฉพาะใน LUMIX เท่านั้นและยังมอบคุณสมบัติใหม่ๆ ด้วย

 

—คุณใช้วิธีไหนในการพัฒนาสิ่งเหล่านั้น

Kado: สำหรับความสามารถในการถ่ายทอด เรายึดมั่นในหลักปรัชญาการสร้างภาพถ่ายของ LUMIX ที่ว่า “Capturing It All” เพื่อการแสดงภาพที่มีชีวิตชีวาและสวยงาม ด้วยหลักการนี้ เราจึงพยายามพัฒนาความสามารถในการสร้างภาพถ่ายที่เซ็นเซอร์ฟูลเฟรมสามารถทำได้ และเรายังเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่เข้าไปด้วย เช่น โหมดความละเอียดสูง ซึ่งให้ภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้นและภาพถ่าย HLG ด้วยฟังก์ชั่นใหม่เหล่านี้ LUMIX ได้มอบความสามารถในการแสดงออกทางภาพถ่ายและสไตล์ในการมองภาพแบบใหม่สำหรับอนาคต
ส่วนในด้านประสิทธิภาพพื้นฐานที่สูงนั้น ความสามารถในการโฟกัสคือสิ่งสำคัญที่สุด เราไม่เพียงแต่ใช้ฟังก์ชั่นโฟกัสอัตโนมัติที่มี Contrast AF และเทคโนโลยี DFD ในระบบฟูลเฟรมเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความไวในการสื่อสารระหว่างเลนส์กับเซ็นเซอร์ด้วย ปรับปรุงฟังก์ชั่นการจดจำอัตโนมัติด้วยการเพิ่มคุณสมบัติการจดจำสัตว์ และเพิ่ม AF แสงน้อยเพื่อให้สามารถโฟกัสได้รวดเร็วและมีความแม่นยำสูงในฉากถ่ายภาพที่หลากหลาย กล้องดิจิตอลฟูลเฟรมรุ่นใหม่ของเรามาพร้อมกับชัตเตอร์ความเร็วและความแม่นยำสูงที่สามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ซิงค์แฟลชที่ 1/320 วินาที และยังมีความเร็วสูงที่ 1/8000 วินาที นอกจากนี้ ชัตเตอร์ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 400,000 ครั้ง และยังมี Dual I.S. 2 ที่ช่วยลดการสั่นของกล้องแม้ที่ระยะเทเลโฟโต้โดยการเชื่อมต่อ Body I.S. (ระบบกันสั่นของตัวกล้อง) และ O.I.S. (ระบบกันสั่นแบบออพติคอล) ด้วยวิธีที่ล้ำสมัย
ระบบกันสั่นภาพแบบใหม่สามารถใช้งานได้กับการถ่ายวิดีโอ 4K 60p/50p* กล่าวโดยสรุปคือ กล้อง S1R/S1 มีฟังก์ชั่นและข้อมูลจำเพาะที่ช่างภาพระดับมืออาชีพจะต้องชื่นชอบ

* พื้นที่ PAL เท่านั้น

 

—คุณได้อธิบายถึงคุณสมบัติและฟังก์ชั่นเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น แต่ผมก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว

Kado: ยังมีให้กล่าวถึงอีกมาก จุดสำคัญข้อที่สามซึ่งก็คือความง่ายต่อการใช้งานนั้นมีความสำคัญมาก ช่องมองภาพ Real View Finder ความละเอียด 5.76 จุดนับเป็นสิ่งที่แสดงถึงความพยายามของเราในการที่จะทำให้กล้องนี้ใช้งานง่าย และเรายังใช้ความพิถีพิถันต่อรายละเอียดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาในข้อมูลจำเพาะของกล้องได้ด้วย เช่น อินเทอร์เฟซผู้ใช้ (การจัดวางปุ่มและเมนู) ความแข็งแรงของตัวกล้อง ความทนทานต่อแรงกระแทก การกันละอองน้ำและฝุ่น
การบรรยายด้วยคำพูดนั้นง่าย แต่การสร้างดีไซน์ที่ใช้งานง่ายและทำให้กล้องมีคุณภาพของกลไกภายในที่สูงนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ทั้งสองสิ่งเป็นไปได้พร้อมกัน และสาเหตุข้อหนึ่งที่ทำให้เราสามารถทำสำเร็จได้ทั้งสองข้อโดยที่คุณภาพของกล้องไม่ลดลงคือ ความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของสมาชิกทุกคนที่มีส่วนในการพัฒนากล้องรุ่นนี้

วิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลดีเยี่ยมซึ่งเราได้คิดค้นขึ้นมาโดยใช้มุมมองของช่างภาพคือ L-Mount

 

—ช่วยเล่าให้ฟังถึงกระบวนการพัฒนาและการนำ L-Mount มาใช้

Ejima: ความจริงก็คือ เราเริ่มต้นสำรวจการพัฒนากล้องฟูลเฟรมในราวปี 2010 ในขณะนั้น เรากำลังตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับ Leica Camera AG หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แบรนด์กล้องของเรายังไม่แข็งแรงพอในขณะนั้น เราจึงสรุปว่า แม้เราจะเปิดตัวกล้องฟูลเฟรม ลูกค้าก็จะไม่ให้ความสนใจอยู่ดี เราจึงจำเป็นต้องหยุดโครงการพัฒนาเอาไว้ก่อน
ในปีถัดมา กล้องรุ่นไฮเอนด์ในมาตรฐานระบบ Micro Four Thirds ของเราก็เริ่มมีความแข็งแกร่งขึ้น และเราได้เปิดตัวกล้อง GH5 และ G9 ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมากจากช่างภาพระดับมืออาชีพและผู้ที่สนใจการถ่ายภาพ เราได้รับกำลังใจจากความสำเร็จของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น จึงตัดสินใจกลับมาพัฒนากล้องฟูลเฟรมอีกครั้งโดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างกล้องที่ดีที่สุดที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของเราทั้งหมด ด้วยความตั้งใจครั้งใหม่นี้ เราจึงริเริ่มโครงการพัฒนาขึ้นมาใหม่ตามที่ Kado ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้

 

—แล้วการตัดสินใจนำ L-Mount มาใช้เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ด้วยหรือไม่

Rikiya Ejima —ออกแบบเมาท์

Rikiya Ejima
—ออกแบบเมาท์

Ejima: ไม่ครับ ในช่วงแรก เราตั้งใจจะใช้เมาท์เดิม สาเหตุเนื่องมาจากเราให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการออกแบบออพติคอลเพื่อให้ได้คุณภาพของภาพที่สูงอย่างไม่เคยมีมาก่อนซึ่งเหนือกว่ากล้อง DSLR รุ่นเด่นๆ ของผู้ผลิตกล้องรายอื่น อย่างไรก็ตาม การใช้เมาท์เดิมหมายถึงเวลาอีกมากที่จะต้องใช้ในการพัฒนาและสร้างเลนส์ในกลุ่มใหม่ทั้งหมด ตามแนวคิดของผลิตภัณฑ์ ผู้ใช้กลุ่มเป้าหมายของกล้อง LUMIX S1R/S1 คือช่างภาพระดับมืออาชีพ ไม่ว่าจะมีนวัตกรรมที่ทันสมัยเพียงใด กล้องจะไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการทำงานของช่างภาพมืออาชีพได้หากเลนส์ที่สามารถใช้ได้มีจำนวนจำกัด
เพื่อให้ช่างภาพมืออาชีพและผู้ที่สนใจการถ่ายภาพได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เราจึงต้องขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เลนส์ให้ได้อย่างรวดเร็ว

เราทำการตรวจสอบหลายครั้งและนำเอาความรู้ทั้งหมดที่ได้จากการพัฒนาเมาท์เดิมมาประยุกต์ใช้ จากนั้นเราจึงตัดสินใจได้ว่า L-Mount คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะ L-Mount ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้เลนส์ของ LUMIX ได้เท่านั้น แต่ยังใช้เลนส์ของ Leica Camera AG ได้ด้วย จึงเป็นการขยายขอบเขตเลนส์ที่สามารถใช้ได้มากขึ้น ดังนั้น เราจึงติดต่อเพื่อขอร่วมงานกับ Leica Camera AG ซึ่งนำไปสู่จุดกำเนิดของ L-Mount Alliance

—ดังนั้น การตัดสินใจนำ L-Mount มาใช้เกิดจากมุมมองของช่างภาพ

Ejima: เราทำสำเร็จได้เพราะแนวคิดพื้นฐานของเมาท์เดิมที่เรากำลังจะพัฒนานั้นมีความใกล้เคียงกับ L-Mount ของ Leica Camera AG L-Mount ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้คุณภาพของภาพที่สูงเท่านั้น แต่ยังมีความคล่องตัวที่ยอดเยี่ยมและสามารถใช้งานได้หลากหลายด้วย คุณลักษณะที่มีความลงตัวของ L-Mount คือสิ่งที่เรากำลังมองหาอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น เรายังติดต่อไปยัง Sigma ด้วย ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาเลนส์คุณภาพสูงที่โดดเด่นหลายรุ่น เพื่อจุดประสงค์ในการสร้างเลนส์ในกลุ่มใหม่ทั้งหมดให้ได้เร็วที่สุด ความร่วมมือจาก Sigma ในการสร้าง L-Mount Alliance ช่วยให้ความมั่นใจและกำลังใจแก่เราได้เป็นอย่างดี ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งสามบริษัทได้แก่ Leica Camera, Sigma และ Panasonic แต่ละบริษัทจึงสามารถพัฒนาเลนส์ของตนเองโดยใช้จุดแข็งที่มีเฉพาะตัวและสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด

• L-Mount เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Leica Camera AG